วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ภูสวนทรายในสายหมอก (16 เฟรม)


จุดกางเต็นท์บนภูสวนทราย

ย้อนกลับไปสู่วัยเยาว์ หนุ่มน้อยหน้าใสผู้หลงใหลการเดินทางตั้งแต่เด็กออกอุบายให้แม่ฟัง เขาบอกแม่ว่า “อาทิตย์หน้าต้องไปเข้าค่ายลูกเสือกับทางโรงเรียน” ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาโกหกแม่ด้วยการแบกเป้ตามเพื่อนรุ่นพี่ไปภูกระดึง ภูลูกหนึ่งที่นักเดินทางมุ่งหวังไปให้ถึง และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อตามหาภูสวยใต้ผืนฟ้าเมืองเลย

จากวันนั้นเขาเติบใหญ่ ชีวิตปรับเปลี่ยนไปตามบทวิถี สุดท้ายได้เดินทางในสายงานถ่ายภาพ บันทึกความงามธรรมชาติ ปัจจุบันเขายังเข้าออกเมืองเลยราวเมืองนี้เป็นบ้านเกิด นอกจากภูกระดึงที่หลงใหลยังโยงใยไปถึงภูหลวง ภูเรือ ภูป่าเปราะ ภูทอก ภูบ่บิด เลาะเรื่อยไปเกือบทุกภูที่อยู่ในอ้อมกอดเมืองเลย

ครั้งหนึ่ง เขาเดินเดี่ยวเปลี่ยวเปล่าอยู่กลางป่าภูเรือ วันนั้นฝนตกหนัก ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้คนเดียว เขาลุยป่าฝ่าฝนไปตามเส้นทางฉ่ำชื้นลื่นแฉะ ช่วงหนึ่งลงไปถ่ายภาพกลางธารน้ำ เกิดผิดพลาดล้มลงทั้งคนทั้งกล้อง คนไปทางหนึ่ง ขาตั้งกล้องกับกล้องอยู่อีกทางหนึ่ง จากนั้นต้องเดิน เดินและเดิน เดินไปพบทางขาด เดินหลงป่า กว่าจะออกมาได้เล่นเอาเหนื่อย แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ถดท้อแม้แต่น้อยหากมันกลายเป็นประสบการณ์ที่ต้องจดจำ จำเพื่อระลึกถึง จำเพื่อวันหนึ่งจะกลับไป ใช่! เขากลับไปอีกหลายครั้ง จนบางคราวถูกต้องสงสัยว่าเมืองเลยมีอะไรทำไมไปบ่อย ทุกครั้งที่ถูกถามเขาได้แต่ยิ้มแล้วตอบสั้นๆ ว่า “สวยดี”


วันนี้เขาออกเดินเท้าก้าวเดินทางมุ่งสู่อำเภอนาแห้ว เพื่อค้างแรมที่อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย ภูที่เขายังไปไม่ถึงจึงต้องตามหา จึงต้องมา จึงต้องสัมผัส


น้ำตกช้างตก


นนหลวงจากเมืองเลยคดโค้งไปตามสภาพภูมิประเทศแบบขุนเขา ผ่านอำเภอภูเรือ อำเภอด่านซ้าย และเข้าสู่อำเภอนาแห้ว อำเภอแห่งขุนเขาริมชายแดนไทยลาว บริเวณนี้มีแค่แม่น้ำเหืองสายเล็กแบ่งเขตให้ประเทศหนึ่งแยกออกจากประเทศหนึ่ง ทั้งๆ ที่มันควรเป็นหนึ่งเดียวกัน


หมอกฝนบนขุนเขา ระหว่างทางเดินป่าภูสวนทราย


ณ ภูสวนทราย ถึงที่หมายกล่าวทักทายผู้คุมกฎที่เราเรียกว่า “หัวหน้า” (หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย) จากนั้นพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอจึงออกเดินทาง (ย้อนกลับ) ไปบันทึกภาพน้ำตกขนาดเล็กคือน้ำตกช้างตก ต่อด้วยถ่ายภาพเงาอาทิตย์สุดท้ายที่ภูขาด แต่ดวงไม่ดีนัก สายฝนอันเป็นที่รักกลางเดือนธันวาล่วงหล่นลงมาเป็นม่านสาย สนธยาสุดท้ายจึงไม่ได้สนทนากับดวงตะวันเลยซักนิด ได้เห็นแค่เมฆหนาท่ามกลางสายลมเหยียบเย็น มีแสงส่องสาดผาดผ่านหมู่เมฆเป็นระยะ ไม่แน่ใจว่าดวงตะวันกับจันทร์ดาราในเย็นย่ำค่ำนี้จะเป็นอย่าไร ถ้าไม่ได้อาทิตย์กลมโตขอให้ได้สนธนยาฟ้าสีสวย ถ้าไม่ได้ดาวตกขอให้ได้ดาวพราวฟ้า แต่ใครจะรู้ การเดินทางท่องเที่ยวธรรมชาติมิอาจคาดเดา หลายครั้งเวลาเคลื่อนไปไม่กี่นาทีบรรยากาศก็แตกต่างแล้ว การถ่ายภาพด้วยกล้องกับบันทึกความทรงจำด้วยดวงตาและความรู้สึกจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคราวใครบางคนได้ฟ้าสีสวย คนบางใครได้หมอกหม่น บางคนไม่ได้อะไรเลย หรือบางใครได้เกี่ยวเรียวรุ้งเหนือทุ่งกว้าง นั่นคือเสน่ห์ นั่นคือมนต์ คนไม่สัมผัสไม่มีทางรู้ คนไม่เคยดูมักไม่เข้าใจ บางคนบ่น บางคนด่า บางคนถามหาสิ่งที่เคยเห็นในรูปภาพตามนิตยสาร ความจริงใครคนนั้นไม่รู้ว่าสิ่งแตกต่างที่เขาได้รับคือรางวัลหาใช่สิ่งเลวร้าย ผมเคยติดอยู่ในม่านฝน เคยล่วงหล่นในธารเศร้า เคยนั่งเหงาอยู่ในป่าชื้นเพียงลำพัง ภายหลังกลับกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานให้ลูกหลานฟัง ผมเดินทางมาไกล ไกลพอเข้าใจธรรมชาติและให้อภัยตัวเอง การได้เห็นปรากฏการณ์หนึ่งถือว่าเป็นบุญ ถือเป็นทุนในการเดินทางท่องเที่ยวต่อไป เหมือนค่ำคืนนี้แม้ไม่ได้ดาวซักดวงอยู่ในมือก็ไม่ยึดถือไม่เป็นไร ในเมื่อลมหายใจยังอยู่ พรุ่งนี้มีทางสว่างเสมอ


เห็ดป่าบนขอนไม้เก่ากลางป่าภูสวนทราย


กระโถนฤาษี ไม้หายากพบบนภูสวนทราย

อย่าร้องไห้ถ้าภูเขายังมีป่า
ไม่ไร้ค่าถ้าดอกหญ้ายังเอนไหว
ยังยิ้มได้หากแสงดาวยังแกว่งไกว
บอกหัวใจให้ออกเดินเพลินพนา


ลานเฟิร์นริมผาบนภูสวนทราย มองเห็นเทือกเขาแดนลาวอยู่ด้านหลัง


บังเกอร์เก่าของทหารในยุคไทยสู้รบกับลาวบนภูสวนทราย

รุ่งเช้าความเหน็บหนาวยังยึดอยู่ ม่านน้ำฝนปะปนศรัทธาเดินเคียงคู่กันตลอดคืน หนักบ้างเบาบ้างไม่ร้างเสียทีเดียว คนเดินป่าไม่กลัวป่า ลำธาราไม่กลัวฝน เมื่อมาถึงถิ่นก็ต้องบินให้ถึงฝั่ง แม้ทางเดินจะลำบากกว่าปกติก็ต้องไป ก่อนแกว่งเท้าก้าวขึ้นเนิน “ต้น” ป่าไม้หนุ่มบอกว่า “ต้องเดินขึ้นเนินเขาสูงชัน ผ่านป่าไผ่ เหยียดขึ้นไปจนถึงสันเขา ระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร แล้วเดินบนทางราบป่ารกไปอีก 4 กิโลเมตรจึงถึงที่หมาย ซึ่งถูกเรียกว่า “เนิน 1408” เนินแห่งนี้เป็นฐานทหารเก่าในคราวไทยรบลาว ลาวรบไทย ส่วนช่วงสุดท้ายเดินลงเขาอีก 3 กิโลเมตรเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ ระหว่างทางเราอาจได้พบกระโถนฤาษีดอกไม้กินแมลงรูปร่างงามประหลาด” ผู้มาเยือนพยักหน้าเข้าใจ ไม่ถามอะไรมากไปกว่านั้น 

                       

                                                         ทุ่งหญ้าเริงระบำบริเวณที่ราบตีนภู

ฝนบางๆ กับเส้นทางสูงชันทำให้อากาศเย็นยามนี้เหน็บหนาวร้าวถึงกระดูก หนาวทั้งอากาศในผืนป่า หนาวทั้งน้ำจากฟ้าที่ปะพรมลงมาไม่ขาดสาย สวมเสื้อกันหนาวหนากับเสื้อร่มกันฝนแนบกระชับร่าง หลังแบกเป้ไหล่แบกกล้องพร้อมเดินดง ก้าวเท้าไปบนทางชุ่ม ใจระรื่นไปกับทางชื้น อีกไม่นานคงรู้ว่าอากาศบนภูเย็นยะเยือกเพียงใด


แปลงสตรอเบอร์รี่บริเวณที่ราบตีนภู



ดอกหญ้ากับแสงเช้าที่ภูผาหมวก

ตลอดระยะทาง 1+4 กิโลเมตรได้พบเจอพันธุ์ไม้ดอก ไม้ใบ ไม้เลื้อยไม้คลุมดินมากมายหลายชนิดรวมทั้งเจ้าดอกกระโถนฤาษีด้วย ส่วนสิ่งที่สร้างรอยประทับใจคือบรรยากาศโดยรวมของผืนป่า ป่าที่ถูกหมอกฝนปกคลุมจนขาวโพลนไปหมด งดงามราวภาพฝัน หยาดน้ำจากสรวงสวรรค์ทำให้ป่างามเช่นนี้ นี่คือรางวัลอันเหมาะสม ผมไม่แน่ใจว่าเดินไพรในฤดูอื่นจะได้เห็นภาพอย่างนี้หรือไม่ ยกเว้นต้องย้อนมาย้อนไป เอาให้รู้ดูให้ละเอียดว่าแต่ละฤดูแตกต่างกันอย่างไร

สำหรับเนิน 1408 มีลักษณะเป็นผากว้าง พื้นราบริมผาปกคลุมด้วยใบเฟิร์น มีร่องรอยบังเกอร์เก่าของทหารถูกปกคลุมด้วยมอส เฟิร์นและดอกหญ้าบางชนิด ขณะยืนอยู่บนเนินมองเห็นขุนเขาทอดตัวเรียงรายสลับซับซ้อนกั้นเขตไทย-ลาวตรงบ้านน้ำผักของไทยกับบ้านแตน แขวงไชยบุรี ของลาว


อาทิตย์เช้าเหนือสันเขาภูเรือ บันทึกภาพที่ภูผาหมวก


ตอนขึ้นมาถึงเนิน 1408 เม็ดฝนหยุดโปรยปรายเหลือเพียงสายลมหนาวจากฝั่งลาวพัดผ่านมา จากหนาวฝนผ่อนปรนเป็นลมหนาว หนาวเพียงไรยังทนไหว ยังทนได้เพราะมีหัวใจอุ่นๆ ยืนโต้กับสายลมจากขอบฟ้าไกล ส่วนระยะทาง 3 กิโลเมตรหลังเดินง่าย เดินลงเขา แต่ผู้ที่มีปัญหาเรื่องหัวเข่าอาจไม่พึงปรารถนาเพราะหลายช่วงเป็นทางลงเขาที่ลาดชันมาก

ลงจากป่าล่าถอยออกจากภูสวนทรายลงมาสู่พื้นราบด้านล่าง เราได้พบแปลงสตรอเบอร์รี พบทุ่งหญ้าเริงระบำกับสายลม และได้พบรอยยิ้มพิมพ์ใจจากชาวบ้าน นับเป็นมิตรไมตรีที่ดีเยี่ยมทำให้ลืมเรื่องเข่าล้าจากการลงเขาได้ชั่วคราว

จุดมุ่งหมายต่อไปในวันรุ่งคือทัศนียภาพเมืองนาแห้วในมุมสูง ไปเก็บเกี่ยวภาพดวงตะวันในยามเช้า เก็บงำเรื่องราวให้มากที่สุดเท่าที่ความสามารถพึงมี ส่วนราตรีอันเหน็บหนาวในค่ำคืนที่สองยังคงครองตนอยู่ในเขตนาแห้วกับรีสอร์ตเรียบง่ายใกล้ๆ ภูผาหมวก


ทัศนียภาพเมืองนาแห้วกับขุนเขาฝั่งลาว บันทึกภาพที่ภูผาหมวก

รุ่งเช้า ฟ้ายังไม่สาง เราเดินทางสู่ภูผาหมวกด้วยการเดินเท้ากับระยะทางสั้นๆ เพียง 1.5 กิโลเมตร ขึ้นไปเฝ้ารอดวงอาทิตย์ทอดใยในเช้าวันใหม่

ไม่นานเกินรอ ตะวันกลมโตสีส้มทองทอแสงเหนือสันเขาภูเรือ แม้มันอยู่ไกลแต่ใยงามตามธรรมชาติทักทอให้นักเดินทางมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนั้นมันยังแผ่รังสรลงไปถึงสายหมอกในหุบเขา สลายเงาสลัวจนป่าตรงหน้ากลายเป็นสีทองทั่วทั้งผืน


สายหมอกยามเช้าปกคลุมขุนเขา บันทึกภาพที่ภูผาหมวก


การเดินทางมาเยือนภูสวนทรายจบลงในยามสายที่ภูผาหมวก สิ่งที่ได้รับคือภาพงามของผืนป่า ความเหนื่อยล้าจากการเดินบนขุนเขา ได้พบเงาไม้มากมายสายเสน่ห์ ได้รู้ว่าป่าอีสานตอนเหนือ ณ นาแห้วนั้นอุดมสมบูรณ์เพียงไร ที่สำคัญ มันงามกว่าที่คิด มันสะกดจิตให้เราลุ่มหลงได้โดยไม่ยาก แม้ยามจากยังอาลัย แม้ลาไกลใจยังคิดถึง...ลาก่อนภูสวนทราย หากยังไม่ตายจะขึ้นมากางเต็นท์นอนดูดาว ชมชิมน้ำค้างหนาวในคืนข้างแรม


นักท่องเที่ยวกับสายหมอกแน่นหนาที่ภูขาด (ภูสวนทราย)

หมายเหตุ
- การเดินป่าภูสวนทรายในชาวงมีฝนควรสวมถุงกันทาก ทากที่นี่ไม่ธรรมดา อุดมดีทีเดียว
- ภูสวนทรายมีบ้านพักหลายหลัง แต่ละหลังเป็นบ้านขนาดใหญ่ รองรับนักท่องเที่ยวได้มากพอสมควร ส่วนลานกางเต็นท์มี 2 จุด คือบริเวณที่ทำการอุทยานฯ (ใกล้บ้านพัก) และบริเวณลานเฟิร์นบนสันเขา
- ภาพและเรื่องบางส่วนถูกตีพิมพ์ในนิตยสารหนีกรุงไปปรุงฝัน ฉบับประจำเดือนมกราคม 2559

ขอบคุณ
- เพื่อนร่วมทาง
- หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น