วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Organic&Natural Expo 2015 วันสุดท้าย


เมื่อตอนเย็นถึงค่ำผมหลงทาง หลงไปเดินตากแอร์อยู่ในงาน Organic&Natural Expo 2015 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แค่เห็นชื่องานก็รู้ดีว่ามันเป็นงานเพื่อสุขภาพ และยังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดเทรนด์หนึ่ง ผมหมายถึงกระแสการบริโภคผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหรือที่ใครหลายคนเรียกว่าอาหาร Clean หรือ Green หรือปลอดสารพิษ


ความหลากหลายในลักษณะอาหารแปรรูปแบบออร์แกนิค

ภายในงานเต็มไปด้วยผักปลอดสาร อาหารสะอาด เครื่องสำอางค์ที่ไม่เป็นภัยต่อร่างกาย เสื้อผ้าที่ไม่พิษต่อการสัมผัส

ส่วนที่ใหญ่ที่สุดคืออาหารเพื่อบริโภค พวกผักผลไม้ต่างๆ และที่แปรรูปแล้ว เช่น ชาจมูกข้าว น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล บะหมี่สำเร็จรูปจากผัก ส่วนรองลงมาเป็นพวกเครื่องสำอางค์และยา เช่น ยาสีฟัน ยาสระผม ครีมทาผิว ส่วนที่เห็นน้อยมากคืออาภรณ์และงานตกแต่ง



เท่าที่เห็นและรู้ (เท่าที่รู้) ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน เหมือนกันบ้างซ้ำกันบ้าง อย่างข้าวไรซ์เบอรี่มีมากและเหมือนกันเกือบทั้งหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจนอกเหนือจากคุณสมบัติต่างๆ คือการออกแบบ เรื่องนี้มีการแข่งขันกันสูงทำให้ขวดกระป่อง กล่อง กระดาษ และฉลากน่ามองและน่าจับต้อง เกือบทุกชิ้นมีความเป็นสากลสูงมาก


มีผลิตภันฑ์ชิ้นหนึ่งที่ผมชอบคือยาสีฟันออร์แกนิคแอคทีพ แรกๆไม่ได้สนใจเพราะมันไม่สะดุดตาอะไรมากนัก ต่อเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนพบว่ายาสีฟันของเด็กเขาใช้รูปการ์ตูนเด็กไทยไว้ผมจุกพิมพ์บนกล่อง ชวนมองและรู้สึกถึงความเป็นไทยได้ชัดเจน


ผลิตภัณฑ์ช้อน ตะหลิว ทัพพี เขียง ทำจากไม้


ผลิตภัณฑ์โคมไฟจากหวาย


ผ้าไทยอีสาน ผ้าฝ้ายทอมือย้อมด้วยสีธรรมชาติ


เมนูนี้อย่าพลาดโดยเด็ดขาด ข้าวจี่ฮางงอก เป็นข้าวจี่อีสานที่มากันในรูปลักษณ์ใหม่ รสชาติใหม่


นิตยสาร Simply Living

นอกจากผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาทั้งหมด ยังพบนิตยสารเล่มหนึ่งชื่อ Samply Living เป็นหนังสือที่พูดถึงคน กับธรรมชาติ ธรรมชาติกับวิถีคน พูดถึงความเป็นอยู่ซึ่งมีสายสัมพันธ์กันโดยมิได้ใยดีชีวิตเมือง นิตยสารเล่มนี้ดีทั้งเนื้อหา สวยทั้งการออกแบบ พิมพ์ดีมาก เปิดดูก็รู้ว่าลงทุนสูงและลงใจไปเยอะ


ต้นอ่อนวาซาบิมีให้ชิมกันฟรีๆ ครับ

ผมไม่รู้ว่างาน Organic&Natural Expo 2015 ผ่านมาแล้วกี่วัน รู้เพียงว่าพรุ่งนี้ (วันอาทิตย์ที่ 26) เขาจัดเป็นวันสุดท้ายแล้ว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่อง Organic&Natural น่าแวะไปชมหน่อย อย่างน้อยได้ไปชิมอาหารแปรรูปใหม่ๆ ได้หยิบจับซื้อถือผักผลไม้กลับบ้าน เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้วครับ อีกอย่าง ภายในงานออกแบบวางแปลนได้ดี ไม่รก ไม่วุ่นวาย เดินง่าย เข้าใจง่าย เดินสบายๆ ตามสไตล์คน Organic&Natural ครับ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เขาใหญ่ เที่ยวป่าหน้าฝน

สายฝนโปรยปราย หัวใจออกเดินทาง 

                                       
                                                        ทัศนียภาพม่านฝนบนขุนเขา 

การเดินทางเที่ยวป่าหน้าฝนมีเหตุสนับสนุนที่ต้องไปคือป่ามีความเขียวบนความฉ่ำชื้น สายน้ำอุดมสมบูรณ์ ป่าทุกผืนเริงรื่นถึงขีดสุด



แสงสุดท้ายปลายฟ้าเขาใหญ่

ปลายอาทิตย์แสนสั้น การเดินทางไปสัมผัสป่าต้องบริหารเวลา ผมอยากใช้เวลาในป่ามากกว่าบนท้องถนน หากเอากรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งมีป่าที่อยู่ในรัศมีการเดินทางไม่เกิน 3 ชั่วโมงอยู่รอบด้าน อาทิ เขาใหญ่ แก่งกระจาน อ่างฤาไน เขาชะเมา ไทรโยค เอราวัณ สุดท้ายเลือกไปอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยตัดสินใจไปเดินป่าระยะสั้นจากบริเวณลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้ เดินเรียบลำตะคองไปน้ำตกผากล้วยไม้ เลยเรื่อยไปถึงน้ำตกเหวสุวัต กับระยะทาง 3 กิโล้มตร



หนองผักชี แหล่งดูสัตว์ที่สำคัญของเขาใหญ่

บนถนนธนะรัตช์ เมฆหนาก้อนใหญ่ไล่หลังเรามาติดๆ อีกไม่ช้าคงชิดเข้ามาใกล้และทำให้เราเดินทางลำบากขึ้น แต่ไม่เป็นไรเที่ยวหน้าฝนก็ต้องเจอฝน  ปลอบใจตัวเองขณะรถแล่นผ่านศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ผ่านจุดชมวิว กระทั่งมาถึงอาคารที่ทำการอุทยานฯ ถึงตอนนี้หนีไม่พ้น ม่านฝนโปรยปรายลงมาบางๆ  ป่าใหญ่ตกอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้สายฝนส่งเสียง ปล่อยให้ป่ารับน้ำที่ล่วงลงมาจากสรวงสวรรค์

สะพานข้ามธารน้ำลำตะคอง กองแก้ว

ไม่นานนัก เม็ดฝนแห่งความรักหยุดริน ผู้ถวิลหาการเดินป่าเตรียมตัวสวมถุงกันทาก ขยับแจ๊กเก็ตให้เข้าที่ ก้าวเท้าข้ามสะพานแขวน ลัดเลาะเข้าไปตามทางเดินแคบเล็กเพื่อมุ่งสู่น้ำตกกองแก้วซึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านหลังอาคารที่ทำการอุทยานฯ



ธารน้ำตกกองแก้ว

ระยะทางเดินสั้นๆ ไม่น่าเกิน 500  เมตรพาเราไปพบพันธุ์ไม้มากมาย ได้พบป่าพรุ ได้พบป่าดิบแล้ง และพบไม้นานาพันธุ์สุดท้ายพบสายน้ำขนาดเล็กรินไหลอยู่บนหินสีดำขลับ นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่าเป็นหินปล่องภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีก่อน


ผืนป่าริมอ่างเก็บน้ำ ฝั่งตรงข้ามมอสิงโต 

จากกองแก้วยานพาหนะขับเคลื่อนผ่านทุ่งมอสิงโต บริเวณนี้พบเก้งกวางเล็มหญ้าระบัดใบบนทุ่งโล่ง งดงามราวภาพวาดมากกว่าภาพจริง ดูเหมือนกวางไม่ตื่นกลัว แต่เจ้าเก้งหม้อขนาดเล็กระแวงภัย กินไปเหลียวมองไป ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ถึงที่สุดมันกระโดดหายไปในไพรพง


                                                               ฝูงกวางกินหญ้าที่มอสิงโต

เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงเย็น หลังกางเต็นท์และทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่ผากล้วยไม้ สายฝนโปรยปรายลงมาอีก คราวนี้ไม่มีทีท่าจะซาสร่าง การตั้งหวังถ่ายภาพหมู่ดาวในคืนเดือนแรมต้องเลิกล้ม ไม่มีอะไรดีไปกว่าเปิดไฟดวงเล็ก เขียนบันทึกภายใต้แสงตะเกียงดวงเล็กแล้วหลับใหลไปกับไอเย็นจวบจนรุ่งสาง


ทะโมนน้อยกับแม่

หลังอาหารเช้า ก้าวเท้าเดินไปบนทางดินแคบเล็ก เดินขนานไปกับสายน้ำลำตะคอง ระหว่างทางได้พบพันธุ์ไม้มากมาย เช่น ดอกข่าลิง เฟิร์นหลากชนิด  เห็ดอีกหลายสายพันธุ์ รวมถึงเห็ดถ้วยแชมเปญสีส้มสดงดงามมาก


เห็ดถ้วย


มอสตะไคร่บนขอนไม้ พบง่ายๆ ในป่าเขาใหญ่

เดินผ่านระยะทางมาได้ 900 เมตร ได้พบน้ำตกขนาดกลางลดหลั่นลงมาจากผาสูง แต่มองไม่ถนัดชัดตาเพราะป่าหนาบดบังทัศนียภาพสายน้ำจนหมดสิ้น

เส้นทางที่เหลืออีก 2.1 กิโลเมตรเดินผ่านความรกชัฏ แฉะชื้น และสูงชันเป็นบางช่วง เดินยากขึ้นมาอีกนิดหน่อยแต่ไม่มากหากเดินไปชมไป ถ่ายภาพไปจะเกิดความเพลิดเพลินมากกว่าเหนื่อยล้า



 น้ำตกผากล้วยไม้


ตะกวดรุ่นเยาว์ริมธารน้ำผากล้วยไม้

สุดท้ายปลายทาง เดินออกมาเจอป่าเจอความโล่งกว้างกับหุบเหว ที่นี่คือน้ำตกเหวสุวัต น้ำตกสวยคลาสสิคที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย  งามอย่างไรก็อย่างนั้น  สายน้ำกระโจนจากเหลี่ยมผาลงไปสู่แอ่งเบื้องล่าง ส่งไอละอองลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ จากนั้นจึงรินไหลไปตามธารโตรก ก่อนกลายเป็นน้ำในเขื่อนลำตะคองเพื่อเก็บกักไว้หล่อเลี้ยงชุมชนคนอีสานต่อไป


                                                                          น้ำตกเหวสุวัต

ทั้งหมดนี้คือการเดินทางท่องเที่ยวป่าหน้าฝนระยะสั้น ที่ใครๆ ก็ไปได้หากสนใจความเป็นป่า และสนใจธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สูงสุดในฤดูกาลนี้



ผีเสื้อวงศ์หางติ่งพบริมธารน้ำเหวสุวัต

หมายเหตุ
-          อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดคือ 1.นครราชสีมา 2.สระบุรี 3.ปราจีนบุรี 4.นครนายก
-          การเดินไปได้สองทาง คือทางอ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี

ขอบคุณเพื่อนร่วมทาง
- Fotodiary Team






    

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ล่องแก่งเขาหลัก พังงา



สิบกว่าปีผ่าน ผมทิ้งเรือยางกับไม้พายด้ามโลหะไว้ริมตลิ่ง เกิดความเบื่อหน่ายกับการพายเรือกลางป่า ทั้งเรือยางและเรือคยัค ผมพายผ่านแม่น้ำ ทะเล แก่งขนาดเล็กจนไปถึงขนาดใหญ่ ช่วงนั้นทุกลมหายใจอยู่กับการพายเรือเพราะมีหน้าที่สำรวจล่องน้ำและทำคู่มือการท่องเที่ยวให้บริษัททัวร์ ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีคนชวนไปเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ล่องแก่ง พายเรือยาง ซึ่งผมปฏิเสธทุกครั้ง คนชวนมักทำหน้างงๆ เพราะรู้ว่าผมชอบเดินป่า ชอบแค้มป์ปิ้ง แต่ไม่ยอมเล่นเรือยางไม่ยอมล่องแก่ง เขาถามผมว่า “ทำไมไม่ไป ไม่ชอบเหรอ” ผมตอบว่า “ชอบครับ ชอบมากด้วย แต่ยัง ยังไม่ถึงเวลา”


มาวันนี้ผมคิดถึงการล่องแก่ง การพักค้างแรมกลางป่า คิดถึงการพายคยัคลำแหลมเรียวผ่านล่องน้ำหลาก ด้วยความรักในการผจญภัยยังคงอยู่กอปรกับจังหวะและโอกาสมาพร้อมกันพอดี ผมกับพรรคพวกจึงออกเดินทางเพื่อไปล่องแก่งใน สายน้ำที่คนไทยใคร่รู้จักเพราะส่วนใหญ่มีแต่ฝรั่งต่างชาติเข้ามาเสพสัมผัส สายน้ำทั้งสองคือสายน้ำโตนปริวรรตกับสายน้ำคลองลำรูใหญ่ ในเขต เขาหลักจังหวัดพังงา


บทเริ่มต้นในการล่องแก่ง เราเริ่มที่คลองน้ำใสสะอาดคือคลองลำรูใหญ่ คลองน้ำใสที่ชาวบ้านนำไม้ไผ่มาประกอบเป็นยานพาหนะที่เรียกว่า "แพ” ใช้วิธีการถ่อผ่านแก่งขนาดเล็ก การล่องแก่งแบบนี้ไม่มีอันตรายมากนักเพราะน้ำไม่แรงมาก หากน้ำแรงมากต้องหยุดล่องเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว (บอกกันตรงๆ ว่าหลงรักคลองสายนี้ตั้งแต่แรกเห็น) 


คลองลำรูใหญ่เป็นคลองที่มีสายน้ำใสและมีป่าปกคลุม ยิ่งเดินทางลึกไปเรื่อยๆ ยิ่งเพิ่มรัก เพราะตลอดสองฟากฝั่งร่มครึ้มด้วยผืนป่า บางช่วงดิบครึ้ม บางช่วงป่าโปร่ง มีป่าไผ่สอดสลับกับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แต่มีเรื่องน่าเสียดายนิดหน่อย คือการล่องแพไม้ไผ่ใช้ระยะทางสั้นไป (เวลาสั้นไปด้วย) กิจกรรมระหว่างทางไม่มีอะไรมากนอกจากเสพธรรมชาติกับการถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป ถ้าผมเป็นผู้ประกอบการจะจัดวิธีการท่องเที่ยวใหม่ คือต้องคิดและสำรวจก่อนว่าระหว่างทางมีอะไรน่าสนใจบ้าง  เช่น สวนผลไม้ของชาวบ้าน พันธุ์ไม้ที่น่าสนใจ คือผมจะพาแวะเก็บผลไม้ ดูวิถีชีวิต ให้ความรู้เกี่ยวกับป่า เพิ่มศรัทธาให้นักเดินทาง แต่สุดท้ายต้องบอกว่าผมชอบธารน้ำสายนี้มาก ขนาดแพล่องไปจนถึงที่หมายยังลุ่มหลงลงเล่นน้ำไม่รู้เบื่อ บอกตัวเองว่า "ช่างเยียบเย็น ชื่นใจดีแท้"


จากแพไม้ไผ่ เราย้ายสายน้ำ ขยับสู่สายน้ำโตนปริวรรตที่ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น รุนแรงมากขึ้น ข่าวว่าที่นี่แก่งเพียบ เล่นกันจนเบื่อ ที่สำคัญสายน้ำสายนี้เล่นได้ทั้งปีไม่มีเว้น ไปเมื่อไหร่ได้เล่นเมื่อนั้น


ที่ Sealand Camp หลังจากเจ้าหน้าที่แนะนำข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเรือ เรื่องพาย เรื่องสายน้ำ เรื่องการเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุแพล่ม ซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ผมก้าวเท้าลงเรือ ขยับกล้องตัวจิ๋วให้มั่น (เสียดายไม่ได้พายเอง ต้องถ่ายภาพ) พยักหน้าให้คนคัดท้ายมีความหมายว่า "พร้อมครับ" 


จากนั้นเรือลอยออกไปสู่สายน้ำกว้าง ผ่านแค่โค้งแรกก็พบแก่งตัว S ต่อด้วยแก่งขนาดยาว แก่งร่องหิน แก่งหักศอก แต่ละแก่งมีความเชี่ยวกราก มีความสนุก และมีความงดงามเคียงคู่กัน ที่สำคัญ แก่งโตนปริวรรตมีคลื่นเกือบตลอดทางสร้างความสนุกสนานไม่รู้จบ เสียดาย (อีกแล้ว) ฝนพรำลงมา จากเบาสู่ความหนาแน่น การแล่นเรือบนลำธาราจึงต้องจบลงก่อนเวลาอันควร


สรุปว่าผมชอบการล่องแก่งทั้งสองแบบ ล่องแพไม้ไผ่ให้อารมณ์ดิบเดิม ดำดิ่งอยู่กับความเป็นธรรมชาติ ส่วนการล่องแก่งโตนปริวรรตนั้นเป็นการท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์อย่างแท้จริง (ทำให้ผมหวนกลับไปสู่ยุคที่แล้ว ยุคที่แบกเรือยางไปตามสายน้ำต่างๆ) อยากบอก ว่าใครรักพังงา ใครรักทะเล ไปเที่ยวพังงา ไปนอนชายทะเล อันนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีเวลาว่าง อยากให้ลองไปสัมผัสสายน้ำกับผืนป่าในอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งเชื่อมั่นว่ามันสนุกสนานพอทำให้เกิดความประทับใจ เกิดความทรงจำที่ดี สุดท้ายยังได้รอยยิ้มและความสุขติดตัวกลับมา สายน้ำกับป่าใหญ่รอคอยคุณอยู่ครับ



หมายเหตุ
        -   ล่องแพไม้ไผ่คลองลำรูใหญ่ (ล่องแก่งวังเคียงคู่) ติดต่อสอถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 076 481900-2 
        -  แก่งโตนปริวรรตเป็นแก่งที่สวยงามมีความคดโค้ง มีแก่งขนาดกลางอยู่มากมาย (จัดอยู่ในแก่งอันดับ 3) นักท่องเที่ยวควรมีทักษะหรือทำตามกฎอย่างเคร่งครัด นอกจากล่องแก่งยังมีบริการขี่ช้างชมไพร ติดต่อล่องแก่งได้ที่ Sealand Camp โทร.076 222900-1, 076 232900-4 
        - ไม่ไกลจากจุดล่องแก่งเป็นจุดที่มีน้ำตกโตนปริวรรตรินไหลอยู่กลางป่า (เขตรักษาพันธฺุ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืชโตนปริวรรต) เป็นน้ำตกขนาดกลาง สวยงามพอสมควร แต่ที่น่าสนใจคือมีธารน้ำสายหนึ่งไหลมาบรรจบกับธารน้ำตก จุดที่พบกันงดงามมาก 
        - ภาพที่ 1. 6, 8 และสองภาพสุดท้าย คุณไข่แห่งค่ายเนชั่นเป็นคนกดชัตเตอร์ ภาพที่ 1 เป็นภาพที่ผมชอบมาก ได้อารมณ์การล่องแก่ง องค์ประกอบภาพเยี่ยม อารมณ์สุดติ่ง แสง+สัดส่วน มาพร้อมกันหมด เป็นภาพที่สมบูรณ์มากครับ



น้ำตกโตนปริวรรต


สายน้ำที่ไหลมารวมกับโตนปริวรรต


วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตลาดน้ำคลองแดน สามคลองสองเมือง


ทัศนียภาพสามคลอสองเมือง

บ่ายวันนั้น ยานพาหนะแล่นฝ่าสายฝนมาบนถนนลอยฟ้า จากทะเลน้อยพัทลุงมุ่งสู่ตลาดน้ำคลองแดนในเขตรอยต่อระหว่างอำเภอระโนด จังหวัดสงขลากับอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช


ถนนลอยฟ้าจากทะเลน้อยพัทลุงถึงเขตระโนด


"ยอ" เครื่องมือจับปลาที่ยังคงอยู่คู่คลอง วิถีดิบเดิมของชาวคลองแดน

รถหยุด ฝนบางหยาดขาดเม็ด เราก้าวเท้าเดินไปบนสะพานไม้ หัวใจเต้นถี่เพราะไม่เชื่อว่าตลาดน้ำที่เห็นตรงหน้ามีอะไรมากกว่าที่คาดคิด แรกทีเดียวผมมโนว่าตลาดน้ำคลองแดนเป็นตลาดขนาดเล็ก (มีภาพคลองบางหลวงเป็นตัวตั้งต้น) แต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามาไม่ถึง 20 เมตร ปรากฏว่ามันใหญ่และน่าสนใจอยู่ในที หลังจากสอบถามพ่อค้าเก่าแม่ค้าแก่ ได้ความว่าชุมชนคลองแดนเป็นชุมชนพุทธอยู่กันมานมนานกว่าร้อยปี ที่ชื่อคลองแดนเพราะมีแม่น้ำสายเล็กแบ่งเขตระหว่างสงขลากับนครศรีธรรมราช ตลาดน้ำคลองแดนยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง คือตลาดน้ำชนแดน สามคลอง สองเมือง หรือ “ตลาดน้ำสามคลอง สองเมือง” ที่ได้ชื่อนี้เพราะมีคลองสามสายไหลมารวมกัน คือคลองระโนด คลองชะอวด และคลองปากพนัง


พิพิธภัณฑ์บ้านครูสายัณห์

ในอดีตตลาดคลองแดนเคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในละแวกนี้ สมัยก่อนภายในชุมชนประกอบไปด้วยโรงสี ร้านทอง ร้านขายของชำ ร้านขายยา ร้านตัดผม และร้านอะไรๆ อีกจิปาถะเท่าที่ชุมชนจะพึงมี 

แต่วันหนึ่งสถานการณ์เมืองท่าริมน้ำเปลี่ยนไป ทางการได้ตัดถนนหลวงหมายเลข 408 ขึ้น การคมนาคมปรับไปใช้ถนน ใช้รถยนต์ ความนิยมในการใช้การสัญจรทางน้ำลดลงเป็นลำดับ ไม่อยากเรียกว่าเสื่อมถอยแต่มันไม่มีการสัญจรอีกต่อไป คลองจึงไร้ชีวิต ทำให้จิตใจคนเก่าก่อนคลอนไหว ภาพความเจริญคงอยู่ในใจ ในทรงจำราวฝันงามติดตรึงมิเลือนหาย แต่ลอยอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันเวลา


โชคดีในปี พ.ศ. 2552 เจ้าอาวาสวัดคลองแดน มีความคิดพัฒนาวัดให้มีความเจริญเหมือนแต่เก่าก่อน จึงปรึกษาหารือกับทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ได้มีการทำวิจัยและพัฒนาวัดให้เจริญขึ้น จากนั้นได้ทุนมาอีกก้อนหนึ่ง เป็นทุนให้ชาวบ้านและผู้มีส่วนร่วมในชุมชนคลองแดนไปดูงานเพื่อกลับมาพัฒนาตลาดน้ำคลองแดนให้มีชีวิตอีกครั้ง


ขนมตาลกับผักปลอดสาร ผลิตผลคุณภาพเพื่อผู้บริโภค


ฝนหยาดขาดเม็ด ผู้คนทยอยมาเดินบนสะพานไม้เต็มไปหมด ด้วยความที่มีคลองสามสายมาพบกัน โครงสร้างบ้านเรือนจึงต่างจากตลาดน้ำอื่นๆ โดยสิ้นเชิง คือเรียงตัวไปตามคลองสายต่างๆ แต่มีจุดบรรจบของน้ำสามสายซึ่งกลายเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน

บ่ายคล้อย เรือลำน้อยลอยไปมา เด็กผู้ชายพายเรือกันด้วยความสนุกสนานส่งเสริมให้บรรยากาศชาวคลองมีชีวิต พ่อค้าแม่ขาย ไม่ได้พายเรือ หากขายอยู่หน้าบ้านบนตลิ่งสูง บางคนขายอาหาร บางคนขายผลไม้ บางคนขายไข่ บางใครขายของที่ระลึก บางคนขายผัก บางคนขายผ้า เป็นร้านค้าที่มากอารมณ์เพราะมีทั้งของดั้งเดิมและของใหม่ที่เห็นได้ทั่วไปในตลาดน้ำหรือถนนคนเดินอื่นๆ ที่น่ารักและประทับใจมากคือแม่ค้าบางร้านใช้ใบตองหรือกาบหมากมาเป็นภาชนะในการใส่อาหาร สร้างความรู้สึกดีๆ คือรู้สึกย้อนยุคและดูแลธรรมชาติ


ที่พักแบบโฮมสเตย์


ส่วนสิ่งที่น่าปรบมือให้ คือการแสดงรำมโนราห์ของเยาวชน เป็นการแสดงประกอบดนตรีสดด้วยการร่ายรำบนสะพานไม้ให้อารมณ์ดำดิ่งสู่ความเป็นชนบทได้ดีมากๆ (ผมยืนมองและฟังด้วยความชื่นชมจนเกือบลืมถ่ายภาพ)


ลีลาร่ายรำของสาวน้อยบนสะพานไม้กลางชุมชน


ตลาดน้ำคลองแดนมีที่พักแบบโฮมสเตย์อยู่สามสี่แห่ง เสนอราคาใกล้เคียงกัน ท่านละ 200 บาท/ 1 คืน+อาหารเช้าหนึ่งมื้อ ถ้าอยากสัมผัสบ้านไม้เก่าแก่อายุอานามกว่า 100 ปี ต้องไปนอนที่สายัณห์ โฮมสเตย์ บ้านหลังนี้ ตกทอดมาถึง 4 ชั่วอายุคน ที่สำคัญโฮมสเตย์หลังนี้มีของเก่าเก็บมากมายคล้ายพิพิธภัณฑ์ (ชั้นล่าง) เจ้าของคือครูสายัณห์ ได้รวบรวมของโบราณสมัยปู่ย่าตายายเอาไว้ดีครับ  


บรรยากาศช่วงสนธยามาเยือน

ตลาดน้ำคลองแดน เป็นตลาดที่ให้ความรู้สึกไปในโทนชนบทชัดเจน สินค้าที่นำมาขายยังมีอะไรๆ ที่น่าสนใจ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวสาร ซึ่งเป็นผลผลิตจากชาวบ้านโดยตรง (ไม่แพงด้วย) บ้านเรือนส่วนใหญ่ยังคงไว้ซึ่งแบบเดิมจะมีต่อเสริมเติมแต่งบ้างเป็นบางส่วน ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มเจิด อัธยาศัยดี ผมบรรยายได้เท่านี้ หากอยากรู้ลึกต้องหาทางไปเยือนด้วยตัวเอง ขอให้สนุกกับการเยือนตลาดน้ำ สามคลอง สองเมืองครับ



หมายเหตุ
-         -  ตลาดน้ำคลองแดน ติดตลาดเดือนละ 4 ครั้ง คือเปิดทุกวันเสาร์ เริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 15.30 น. จนถึง 21.00 น.
-        -  ตลาดน้ำคลองแดนมีที่พักแบบโฮมสเตย์อยู่สามสี่แห่ง เสนอราคาใกล้เคียงกัน ท่านละ 200 บาท/ 1 คืน+อาหารเช้าหนึ่งมื้อ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายัณห์โฮมสเตย์ 081-8967352

-          - ชุมชนคลองแดน ตั้งอยู่ที่ทางทิศเหนือของอำเภอเมืองสงขลา อยู่ห่างประมาณ 100 กิโลเมตร (กม. 15 จากแยกบ้านรับแพรก - ระโนด) และมีระยะทางจากอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชไปทางทิศใต้ประมาณ 100 กิโลเมตรเช่นเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าชุมชนคลองแดน มีที่ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางระหว่างจังหวัดสงขลากับ จังหวัดนครศรีธรรมราช