วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

เบตง หน่วยรบใต้ดินแห่งอุโมงค์ปิยะมิตร


เรื่องราวต่อไปนี้คือร่องรอยการต่อสู้เพื่ออิสระภาพของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาที่หลบหนีการปราบปรามจากรัฐบาลมาเลเซียเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการและเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย – มาเลเซีย และเนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์จีนจึงทำให้มีชื่อเรียกและรู้จักกันในนามว่า “จีนคอมมิวนิสต์มาลายา” หรือ “โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา” หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “จคม. ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากอีกฉากหนึ่งซึ่งน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
#ThanilandStandupChallenge


บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาปรากฏชัดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อได้ให้ร่วมมือกับอังกฤษในการต่อต้านญี่ปุ่น และจัดตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า กองทัพมาลายาต่อต้านญี่ปุ่น" (The Malayan People’s Anti-Japanese Army -MPALA) เพื่อทำหน้าที่ต่อต้านและทำลายล้างญี่ปุ่น 



ประตูทางเข้า (ด้านนอก)

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในเดือนกันยายน พ.ศ. 2488 ด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผลให้อังกฤษกลับมามีอิทธิพลเหนือมาลายูตามเดิม และให้การรับรองว่าพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องกฎหมาย แต่เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐบาลสหพันธ์มาลายากำหนด เช่น การไม่ยอมยุติการแทรกซึมระบบคอมมิวนิสต์และไม่ยอมคืนอาวุธทั้งหมดให้กับอังกฤษ (ข้อมูลตรงนี้ต้องค้นกันให้ละเอียดอีกที เพราะทางด้าน จคม.ได้อ้างว่าอังกฤษกดขี่ข่มเหงจึงต้องลุกขึ้นมาจับปืนต่อสู้) ด้วยเหตุนี้พรรคคอมมิวนิสต์มาลายาจึงเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลอังกฤษและดำเนินนโยบายต่อต้านอังกฤษ พร้อมกับการออกแถลงการณ์ รณรงค์ ต่อต้านอังกฤษด้วยวิธีการก่อการร้ายและวิธีการรุนแรง 



ประตูทางเข้า (ด้านใน) จุดผ่านเข้าไปสู่ตำนานอัศจรรย์

การเคลื่อนไหวปฏิบัติการและการตั้งฐานที่มั่นของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านต่างๆ ทำให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายในการป้องกันและปราบปรามด้วยการทำความตกลงร่วมมือกับมาเลเซีย นับตั้งแต่การประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อ พ.ศ. 2491 จัดตั้ง กองปราบปรามผสม มีกรรมการ 2 คณะ คือ คณะกรรมการรักษาการณ์กลาง และคณะกรรมการรักษาการณ์ทักษิณ อยู่ในความรับผิดชอบของกรมตำรวจ ต่อจากนั้นได้ทำความตกลงร่วมมือกันอีกหลายครั้งและปรากฏในรูปของการทำความตกลงร่วมมือในการปฏิบัติการร่วมตามแนวพรมแดนไทย มาเลเซีย 



จากการดำเนินการปราบปรามขบวนการโจรจีนคอมมิวนิสต์ทั้งทางการเมืองการทหารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่พลโทหาญ ลีลานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ใช้นโยบายใต้ร่มเย็นกดดันโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาด้วยปฏิบัติการจิตวิทยาและการทหารตามแผนยุทธการใต้ร่มเย็น 11 และ ยุทธการใต้ร่มเย็น 15 จนสามารถยึดกองกำลังของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาได้หลายพื้นที่


ปฏิมากรรมเจ้าแม่กวนอิม สร้างขึ้นในภายหลัง

ต่อมามีการพูดคุยเจรจากันหลายครั้งจึงได้มีการลงนามในความตกลงเพื่อยุติสถานการณ์การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีจีนเป็ง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาเป็นผู้ลงนามฝ่ายคอมมิวนิสต์ ดาโต๊ะ ฮาจี วันซีเดท ปลัดกระทรวงมหาดไทยมาเลเซียเป็นผู้ลงนามฝ่ายมาเลเซีย และ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการทั่วไปและรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเป็นประธานในฐานะพยาน ถือเป็นการยุติบทบาทของโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายาตั้งแต่นั้น



ทางเดินช่วงแรก


ปัจจุบันสถานที่แห่งอุดมการณ์แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการศึกษาเชิงประวัตศาสตร์ที่คนจีนในมาเลเซียนิยมเข้ามาชมเป็นอย่างมาก



อุโมงค์ปิยะมิตรคือบ้าน คือหลักฐาน คือร่องรอยการสู้รบของกองกำลังคอมมินิสต์มาลายาหรือโจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) ที่นี่เป็นฐานหลบภัยทางอากาศ เป็นฐานต่อสู้ทางบก ฐานแห่งนี้มีดีตรงที่สร้างเป็นอุโมงค์ขนาดยาว โดยพวกเขาใช้วิธีเจาะภูเขาให้เป็นอุโมงค์ยาว 1 กิโลเมตร การสร้างใช้กำลังคน 40 - 50 คน ขุดเข้าไปในภูเขา และใช้เวลาเพียง 3 เดือน จึงแล้วเสร็จ 

บางข้อมูลแจ้งว่าอุโมงค์ปิยะมิตรก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2520 บางข่้อมูลแจ้งว่าสร้างในปีพ.ศ.2519 ซึ่งคลาดเคลื่อนไป 1 ปี แต่ทั้งนี้สหายเฒ่าเล่าว่าเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2519 และพวกเขาได้เริ่มสร้างอุโมงค์ในปีนั้น


ลานหุงหาอาหาร จัดแสดงให้นักท่องเที่ยวดูและรู้ถึงความเป็นอยู่ของ จคม.ในขณะนั้น 
โดยมีสหายเฒ่าเป็นผู้บรรยาย



ภายในอุโมงค์สร้างบันไดเป็นเชิงชั้นลดหลั่นเป็นระดับ

อุโมงค์ปิยะมิตรมีความกว้าง 5-6 ฟุต จุคนได้เกือบ 200 คน มีทางเข้าออกทั้งหมด 9 ทาง เชื่อมต่อถึงกันหมด ปัจจุบันเหลือ 6 ทาง ภายในอุโมงค์ แบ่งประโยชน์ใช้สอยไว้มากมาย ราวบ้านผสมผสานกับออฟฟิศ เช่น แบ่งเป็นห้องประชุม ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง สถานีวิทยุ มีซอกซอยให้เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางซับซ้อน (ถ้าไม่คุ้นชินอาจหลงได้โดยง่าย) ส่วนด้านบนเป็นป่าทึบมีต้นไม้ใหญ่มากมายปกคลุม รวมถึงธารน้ำตกขนาดเล็กด้วย


ห้องประชุมในอุโมงค์ปิยะมิตร

อุโมงค์ปิยะมิตรเป็นอุโมงค์ที่น่าอัศจรรย์ตั้งแต่โครงสร้างที่แข็งแรง ทางเดินแคบเล็กแต่เดินได้สะดวก ภายในเย็นสบายเพราะมีทางลมผ่านเข้าออกหลายทาง ผมชอบตรงที่อุโมงค์เป็นเชิงชั้นหลายระดับ มีบันไดเป็นตัวเชื่อมในหลายจุด มีการแยกสัดส่วนการใช้ประโยชน์ในแต่ละห้องอย่างชัดเจน


ขณะเดินไปตามห้องต่างๆ ผมพบว่าอุโมงค์ปิยะมิตรเป็นสถาปัตยกรรมจากฝีมือมนุษย์ที่งดงามและทันสมัยมาก ที่ทันสมัยเพราะปัจจุบันสถาปนิกในโลกตะวันตกและตะวันออก (ญี่ปุ่น) หลายคนนิยมดีไซน์บ้านให้เป็นถ้ำ ฝังอยู่ในถ้ำ เจาะภูเขาหรือผืนดินเข้าไปอยู่ในนั้น หากนับจากจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2519 แล้วเดินตามเข็มนาฬิกามาถึงปัจจุบันจะพบว่ามันเป็นงานนำสมัยมากกว่าทันสมัย หรือใครบางคนอาจเรียกมันว่าโพส์ตโมเดิร์น


ที่กราบไหว้บูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษ


บริเวณอุโมงค์ปิยะมิตรมีพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น เหมาะแก่การเดินชมธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

สหายเฒ่าเล่าว่า ทหารฝ่ายรัฐบาล นำโดยพลเอกเชาวลิต จงใจยุทธ ไม่มีวันทำลายล้างอุโมงค์อัศจรรย์แห่งนี้ได้ เพราะทหารฝ่ายตรงข้ามไม่เห็นแม้แต่ควันไฟที่ก่อเพื่อหุงหาอาหาร นอกจากนี้ยังมีวิธีการแยบยลอื่นๆ อีกมากมายนำมาใช้ในการยุทธ  สุดท้ายรัฐบาลในยุคนั้นใช้นโยบายแบบพันธมิตรเชื่อมชีวิตด้วยความสัมพันธ์อันดี คือมอบที่ดินให้สหาย จคม. ได้ทำกินคนละ 15 ไร่ ออกมาทำกินแบบผู้บริสุทธิ ไม่มีคดีติดตัว และมีสัญชาติไทยแบบถูกกฏหมาย (เมื่ออยู่ครบ 5 ปี)


ต้นไทรยักษ์ มีป้ายเขียนไว้ว่าอายุเป็นพันปี แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ คืออายุไม่ถึงขนาดนั้น


ธารน้ำจากขุนเขา หนึ่งในมนต์เสน่ห์อุโมงค์ปิยะมิตร


ปัจจุบันอุโมงค์ปิยะมิตรได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดบริการให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 - 16.30 น. การท่องเที่ยวอุโมงค์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มีการติดตั้งไฟฟ้าตลอดแนวอุโมงค์ อากาศภายในเย็นสบายไม่อึดอัด บริเวณทางเข้าสองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ และมีแอ่งน้ำที่ไหลมาจากภูเขา ด้านนอกอุโมงค์ซึ่งเคยเป็นลานฝึกทหารจัดให้มีนิทรรศการแสดงภาพและเรื่องราวประวัติศาสตร์ รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตในป่า นอกจากนี้ ยังมีเห็ดและยาสมุนไพรจากป่าจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวด้วย 



ทางเดินในช่วงสุดท้าย


ภายในอุโมงค์มีการเดินไฟฟ้าเข้าไป เพื่อสะดวกต่อการเที่ยวชมของนักท่องเที่ยว


การเดินทาง

- อุโมงค์ปิยะมิตร ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เข้าทางเดียวกับบ่อน้ำร้อนเบตงและน้ำตกอินทสร อยู่เลยบ่อน้ำร้อนอีก 3 กิโลเมตร

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

ไก่เบตง เรื่องลับที่ไม่ลับ เรื่องลับที่น่ารู้


ไก่เบตงมีชื่อเสียงคู่บ้านคู่เมืองมานมนาน เนื่องจากมันเอร็ดอร่อยกว่าไก่สายพันธุ์อื่น ใครไปเบตงไม่ได้กินไก่เบตงเรียกว่าไปไม่สุดหรือไปไม่ถึง 

ว่ากันว่าไก่เบตงในปัจจุบันหากินยาก หาเกือบไม่ได้ แล้วอย่างนี้นักท่องเที่ยวจะไปกินที่ไหน 


                                                      ไก่ในฟาร์มปล่อยของโกช้าง


ล่าสุดผมไปเบตง ได้พบเจ้าของฟาร์มไก่ท่านหนึ่งชื่อ “ช้าง” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “โกช้าง” โกช้างเล่าให้ฟังว่าไก่เบตงแท้ๆ คือไก่ที่มาจากเมืองกวางไส (จีนแผ่นดินใหญ่) ไก่ชนิดนี้มีรูปร่างประหลาดแต่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือไม่ค่อยมีขน ปีกสั้น ปัจจุบันคนเลี้ยงน้อยเพราะขาดทุนเนื่องจากต้องใช้เวลาและกรรมวิธีผิดแผกไปจากไก่ฟาร์มทั่วไป โดยวิธีการดั้งเดิมต้องเลี้ยงแบบไก่บ้าน คือมีบริเวณกว้างเพื่อให้ไก่เดินและหากินอาหารตามธรรมชาติ


                               ไก่เต็มวัยอายุประมาณหนึ่งปี ขนเต็มตัว เอาไว้เป็นพ่อพันธุ์

ฟาร์มโกช้างนั้นกว้างใหญ่ พื้นที่เหลือพอให้ไก่เติบโตในทิศทางที่เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนเรื่องปีกสั้นทำให้มันผสมพันธุ์ยากกว่าไก่ทั่วไป คือผสมไม่ค่อยติดเพราะไม่มีปีกโอบรัดตัวเมียเพื่อประคองตัวในการทับหรือผสม ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีผสมเทียมแบบรีดน้ำเชื้อ และด้วยมันผสมเองไม่ค่อยติดนี่เองเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไก่เบตงมีราคาแพง


ไก่ในฟาร์มโกช้างเลี้ยงด้วยข้าวสุก รำข้าว ข้าวโพด และหญ้าเนเปีย นอกเหนือจากนั้นมันคุ้ยเขี่ยหากินเพิ่มเติมเองอีกส่วนหนึ่ง (ในภาพเป็นตัวเมีย)


ไก่เบตงถึงอายุขายหรือใช้งานได้ในช่วง 5-6 เดือน น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม โกช้างบอกว่าหลังจากถอนขน เชือด ต้ม ราคาขายอยู่ที่ตัวละ 1,200 บาท แต่ประเด็นปัญหาคือไก่ฟาร์มเฮียช้างทั้งหมดส่งขายให้ภัตรคารใหญ่ในกรุงเทพฯ ไม่มีขายในเบตง ก็เลยเกิดคำถามว่าแล้วผมจะไปชิมที่ไหน คืออยากรู้ว่ารสชาติไก่เบตงแท้เป็นยังไง วันนั้นโกช้างเลยให้เพื่อน คือโกเอ็กซ์จัดการปรุงไก่ให้เราชิมหนึ่งตัว

                                   
                                 นอกจากไก่ ฟาร์มโกช้างยังเต็มไปด้วยผลไม้หลากชนิด 


ทัศนัยภาพรอบๆ ฟาร์มไก่โกช้าง

โกเอ็กซ์บอกว่าการต้มไก่ต้องผ่านกระบวนการมากพอสมควร คือคนเบตงส่วนใหญ่กินไก่หรืออะไรก็แล้วแต่เขากินกับซีอิ๊ว ไก่เบตงก็เหมือนกัน 

คนมีประสบการณ์จะรู้ว่าต้มไก่ใช้ไฟแรงเท่าไหร่ ต้มนานขนาดไหน ที่สำคัญแตงกวาที่มากับไก่ต้องหวานอร่อยไปกันได้ดี


                         ไก่เบตงของโกช้าง จานนี้ใหญ่มากกินกัน 10 คน (ปรุงโดยโกเอ็กซ์) 

ไก่เบตงเป็นไก่ประเภทไม่มีไขมัน โดยเฉพาะระหว่างหนังกับเนื้อไม่มีมันเลย ส่วนหนังนั้นมีสีเหลืองนุ่มกรอบ ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของไก่เบตง มันจึงมีราคาแพง

เป็นอันว่าผมกับพรรคพวกได้กินไก่เบตงแท้ๆ จากฟาร์มบนขุนเขา (อร่อยมาก) แต่มีเรื่องติดใจอยู่อย่างหนึ่ง คือสงสัยว่าทำไมในเบตงถึงไม่มีไก่เบตงแท้ๆ ขาย และสิ่งที่กวนใจมากขึ้นไปอีกคือร้านข้าวมันไก่ใกล้หอนาฬิกากลางเมืองขึ้นป้ายว่าข้าวมันไก่เบตงแท้ เอาหละซิ เดือดร้อนต้องหาคำตอบให้เจอ


จานนี้ไก่เบตงร้านเจริญ


รุ่งเช้า เราเดินผ่านหอนาฬิกา เดินไปที่ร้านเจริญ (ร้านที่เราสงสัยเป็นนักหนา) จัดการสั่งไก่นึ่ง 1 จาน หมูแดงหมูกรอบ 1จาน กุนเชียงอีก 1 จาน  ด้วยสามีเจ้าของร้าน (โกด๋ง) เห็นเราแปลกหน้าก็เลยช่วยอธิบายเรื่องไก่เบตงของทางร้านให้ฟัง 

โกด๋งเล่าว่าเป็นคนเชื้อสายจีน พ่อแม่มาจากเมืองกวางไส (เมืองสายพันธุ์ไก่เบตงแท้) ไก่ที่ร้านเป็นไก่เบตงสายพันธุ์แท้แต่เอามาจากฟาร์มที่จังหวัดปัตตานี ขณะพูดคุยยังหยิบยกใบรับรองจากกรมปศุสัตว์มาแสดงให้ดู 


โกด๋ง ร้านเจริญ (ภรรยาทำไก่ โกด๋งทำหมี่แกง)

ผมไม่ติดใจเรื่องฟาร์มเลี้ยงไก่เพราะเข้าใจว่าชาวบ้านเชื้อสายจีนโดยทั่วไปที่เคยปรุงอาหารด้วยไก่กวางไส ส่วนใหญ่เลี้ยงเพื่อบริโภคในครัวเรือน ไม่ได้เลี้ยงเพื่อการค้า  ถึงตอนนี้สิ่งที่ต้องพิสูจน์คือไก่เบตงของโกด๋งจะเป็นอย่างไร

หลังผ่านไปสองสามชิ้นผมสรุปว่าไก่โกด๋งกับไก่โกช้างรสชาติคล้ายกันมากจะมีที่แตกต่างคือเนื้อไก่ร้านโกด๋งนุ่มกว่าเล็กน้อย ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นปัญหาเพราะเชื่อว่าอยู่ที่ขั้นตอนการต้มมากกว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคด้วยว่าชอบแบบไหน นุ่มน้อยเนื้อแน่นกับนุ่มมากหน่อย ส่วนผมชอบทั้งสองแบบครับ


ร้านโกด๋งนอกจากมีไก่เบตง หมูแดงหมูกรอบอร่อยๆ ยังมีหมี่แกงให้ลิ้มชิมรสด้วย (เป็นแกงกะทิ แบบแกงเผ็ด ราดเส้นหมี่ขาว)


                       ร้านเจริญเป็นร้านตึกแถวชั้นเดียว เรียบง่าย ธรรมดาๆ แต่อาหารใช้ได้เลย 



สำหรับสิ่งที่ผมติดอกติดใจไก่เบตงคือเนื้อแน่น หนา นุ่ม หนังเหลืองบางกรอบ โดยปกติผมไม่กินหนังไก่แต่ไก่เบตงผมซัดไม่เหลือ ที่สำคัญเนื้อในทุกๆ ส่วนอร่อยเท่ากัน ไม่ต่างกันแม้แต่น้อย

เอาเป็นว่าใครไปเบตงหรือจังหวัดอื่นๆ หากไปเจอไก่เบตงช่วยลองลิ้มชิมรสแล้วเอามาบอกกันหน่อย อย่างน้อยจะได้รู้ว่าไก่อร่อยๆ ในนามไก่เบตงนั้นมีที่ไหนบ้าง ส่วนคนที่ตั้งใจไปเบตงอย่าพลาดการกินไก่เบตงด้วยประการทั้งปวงครับ

หมายเหตุ
   ฟาร์มโกช้างกำลังส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงไก่เบตง ด้วยการรับซื้อทั้งหมดในกิโลกรัมละ 450 บาท
   ไก่ที่นิยมคือไก่ที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 2 กิโลกรัม
    ร้านเจริญ (โกด๋ง) เปิดทุกวัน เริ่มตั้งแต่ 06.00 น.-14.00 น. ราคาไก่ขายตัวละ 800 บาท
 ต้องการเข้าชมฟาร์มโกช้าง โทร.086 967 9888

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

กอดบางกอก กราบนางเลิ้ง

เช้าวันเสาร์ที่ 12 กันยายน 58 ผมกับเพื่อนนัดกันไปกอดบางกอก ครั้งนี้เรานัดกันแถวๆ ถนนพิษณุโลก (ลานพระบรมรูปทรงม้า) เพื่อเข้าชมวังปารุสกวัน กราบสักการะศาลกรมหลวงชุมพรฯ ที่พาณิชย์พระนคร กินข้าวเที่ยงและศึกษาชุมชนนางเลิ้ง จากนั้นล่องเรือคลองผดุงกรุงเกษม ปิดทริปการกอดกรุงเทพฯ ที่วัดเทพศิรินทราวาส แต่ในที่นี้ขอพูดถึงชุมชนนางเลิ้งเพียงอย่างเดียว สำหรับในส่วนอื่นจะนำมาเสนอในภายหลังครับ


ว่ากันว่าชุมชนนางเลิ้งเคยชื่อ “อีเลิ้ง” ต่อมาทางการเขาเห็นว่า “อี” ไม่สุภาพก็เลยเปลี่ยนเป็น “นาง” 
จะเป็นอีเลิ้งหรือนางเลิ้งสำหรับผมไม่สลักสำคัญเพราะสุดท้ายมันก็แปลว่า “ตุ่ม” หรือ “โอ่ง” อยู่ดี 



โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี ความวิไลในอดีต วันนี้ชราภาพ รอคอยการปรับปรุง



อาคารตึกแถวริมถนนนครสวรรค์


ประตูบ้านในชุมชนนางเลิ้ง


ลีลาละครชาตรี (การแสดงสาธิต)

ชุมชนคนนางเลิ้งเป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลางรัตนโกสินทร์ (เริ่มในสมัยรัชกาลที่ 5) เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูมากในช่วงกลางลงมา ส่วนนางเลิ้งปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปบ้างเพียงเล็กน้อย ผู้คนส่วนใหญ่ในชุมชนเป็นคนจีน คนมอญ คนไทย ในอดีตนางเลิ้งเคยเป็นศูนย์กลางการค้าขาย โดยเฉพาะอาหารการกินนั้นโด่งดังพอสมควร ส่วนชื่ออีเลิ้งมาจากภาษามอญ ซึ่งมีคนมอญล่องเรือมาขายโอ่งและอยู่อาศัยในย่านนี้


อุโบสถวัดแคนางเลิ้งหรือวัดสุนทรธรรมทาน


ที่เก็บอัฐิคุณมิตรชัย บัญชา ในวัดแคนางเลิ้ง

ความจริงคนกรุงเทพฯ รุ่นก่อนรวมถึงคนรุ่นนี้บางส่วนรู้จักนางเลิ้งกันดีอยู่แล้ว ที่รู้จักดีอาจเป็นเพราะเหตุผลหลายประการ ผมเดาว่าอาหารเด่น ขนมอร่อย มีโรงภาพยนตร์เก่าแก่ที่ยังคงสภาพไว้ให้ดูต่างหน้า มีคนดีช่วยกันดูแล ช่วยกันพยุงชุมชนให้คงสภาพนางเลิ้งไว้เหมือนเก่าก่อน มีบ้านเรือนแถวหรืออาคารพาณิชย์สองชั้นในยุครัชกาลที่ 5 มีนางเอกละครชาตรียุคเก่าขับร้องทำนองร่าย มีคลองผดุงกรุงเกษม มีการส่งเสริมให้ก่อเกิดศิลปะ ที่สำคัญทุกคนพยายามเปลี่ยนความเป็นสลัมในชุมชนให้เป็นบ้านที่น่าอยู่น่าอาศัยและพึงใจเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือน ที่กล่าวมาอาจมีตกหล่นแต่เชื่อว่าทั้งหมดนั้นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชุมชนนางเลิ้งคงอยู่ ทำให้นางเลิ้งมีคนแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ


ทางเข้าตลาดนางเลิ้งจากฝั่งถนนนครสวรรค์


กระเพาะปลาน้ำแดง+บะหมี่ปูหมูแดงจากร้าน ส.รุ่งโรจน์





ขนมถ้วยตะไล มณฑา ขนมถ้วยยอดนิยมในตลาดนางเลิ้ง


กระเพาะปลาแบบเรียบง่าย หากไปร้านใหญ่แล้วเต็ม ร้านเล็กภายในตลาดใช้ได้เลยครับ

สำหรับผมนางเลิ้งอาจแตกต่างจากสายตานักท่องเที่ยวคนอื่น คือตอนเป็นเด็ก ช่วงปิดเทอมแม่ส่งผมมาอยู่กับตาที่บางกระเจ้า (พระประแดง) หรืออยู่กับยายที่คลองสอง (ลาดกระบัง) ยายคนเล็กสุดชื่อบุญชิต ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา เป็นสาวโสด ไม่มีสามี ไม่มีลูก (ไม่มีผัวจะมีลูกได้ไงวะ) แกก็เลยติดหลาน ไปไหนเอาผมไปด้วย ช่วงปิดเทอมถ้าผมจำเป็นต้องมาอยู่กรุงเทพฯ ยายชิตเป็นคนกะเตงผมไปโน่นนี่ นอนบ้านลาดกระบังบ้าง นอนบางกะเจ้าบ้าง (แล้วแต่ยาย)


ยายอารีย์ (ผู้ชี้บ้าน) กำลังขายหมู

มีอยู่สองครั้ง ยายชิตพาผมมานอนหลังตลาดนางเลิ้ง มานอนบ้านยายตุ๊ บ้านยายตุ๊เป็นบ้านผลิตพริกแกง พวกแกงเขียว แกงแดง แกงเหลือง และสารพัดแกง พริกแกงที่แกผลิตออกมาขายมีทั้งขายสดแบบนอนอยู่ในกะละมังและมีแบบสำเร็จรูปแพคถุงพลาสติก  ณ ตอนนั้นน้ำพริกสำเร็จรูปยายตุ๊ดังมาก ใครๆ ก็มาซื้อ รวมทั้งส่งไปขายอเมริกาด้วย เท่าที่จำได้ไม่มีน้ำพริกเจ้าอื่น แม่ประนอมยังไม่มีหรือมีแล้วแต่ไม่ดังก็ไม่รู้ 

ยายชิตพาผมมานอนบ้านนางเลิ้งเพราะยายเป็นคนมีฝีมือเรื่องทำกับข้าว พอคนที่บ้านนางเลิ้งขาดหายยายชิตจะมาช่วย ช่วยควบคุมดูแลการผลิต ซึ่งผมไม่ชอบมาที่นี่เพราะผมเหม็นพริกบด เหม็นหอมกระเทียม เหม็นเครื่องเทศ เหม็นไปสารพัด ยายชิตก็ชอบจัดให้ผมมาบ้านนี้จัง


ภายในตลาดมีศาลกรมหลวงชุมพร ฯ ยกพื้นสูงจากระนาบพื้น เป็นที่เคารพนับถือของชาวนางเลิ้ง


เสี้ยวสีสัน ถึงวันหลีกหนีจากความเป็นสลัมในอดีต



ที่บ้านนางเลิ้ง นอกจากยายชิตผมจำใครไม่ค่อยได้นอกจากป้านา (ลูกยายตุ๊) แหม่ม (ลูกป้านา) และยายนาค (อยู่คนละบ้าน อยู่บ้านห้องแถวในตลาด) ผมค่อนข้างชอบยายตุ๊เพราะตัวอ้วนใหญ่ใจ นักเลง ยายตุ๊เสียงดังโผงผาง ที่น่ารักที่สุดคือชอบดูมวย โดยเฉพาะมวยสากล นักมวยคนโปรดคือมูฮาหมัดอาลี อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮพวี่เวท ผมชอบดูแกเชียร์จากจอโทรทัศน์บนแผงขายน้ำพริกในตลาด แกเชียร์ได้รสชาติมวยขนานแท้ ส่วนป้านาเป็นคนเนี๊ยบ มีระเบียบ เรียบตั้งแต่แต่ทรงผม เครื่องแต่งกาย ยันรองเท้า เป็นคนสวยที่ดุ ผมก็เลยกลัวป้านามากกว่ายายตุ๊ ชอบใกล้ยายตุ๊มากกว่าป้านา


กล้วยทอดเอี๊ยมม่วง ขนมขึ้นชื่อที่ควรลอง

ตั้งแต่ยายชิตจากโลกไปนานหลายสิบปีผมไม่เคยโผล่หน้าไปบ้านนางเลิ้งเลย แต่พอจะได้ข่าวว่ายายตุ๊ตามยายชิตไปติดๆ ส่วนป้านายังมีชีวิตอยู่ วันนี้ (12 กันยายน 2558) ผมสะพายกล้องท่องกรุงเทพฯ ด้วยการกลับไปกอดนางเลิ้ง ขณะเพื่อนสั่งอาหารมื้อเที่ยงผมเดินลัดเลาะไปตามซอกซอย พยายามทบทวนความจำเพื่อหาบ้าน แต่จนแล้วจนรอดหาไม่เจอ ก็เลยอาศัยถามจากผู้เฒ่าท่านหนึ่งชื่อ "ยายอารีย์"


เคาน์เตอร์กาแฟในบ้านนางเลิ้ง (ไม่ใช่บ้านนางเลิ้งที่ผมเคยนอน แต่เป็นบ้านสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว)

“สวัสดีครับยาย” ผมทักทายด้วยการยกมือไหว้และกล่าวสวัสดี
ยายอารีย์รับไหว้ ทำหน้างงๆ

"ยายครับผมเป็นหลานยายตุ๊ หลานป้านา ผมจะมาเยี่ยมแต่หาบ้านไม่เจอ รบกวนช่วยบอกทางหน่อยครับ”

“อ่อ เหรอ ยายตุ๊ตายไปนานแล้ว ไอ้แหม่มก็ตาย ยายนายังอยู่ บ้านอยู่ทางนี้...” แกบอกพร้อมกับชี้ทาง

“ขอบคุณครับยาย เอ่อ ยายชื่ออะไรครับ” ผมถามด้วยอยากรู้


“ยายชื่ออารีย์ ไปรีบไป เดี๋ยวเขาจะไม่อยู่ เห็นว่าต้องไปโรงพยาบาล” แกบอกเสียงเบาๆ


มุมพักผ่อนในบ้านนางเลิ้ง 


ไอเดียเล็กๆ จากบ้านนางเลิ้ง

ผมยกมื้อไหว้ยายอารีย์อีกครั้งก่อนหันหลังจากมา เดินมานิดเดียวกำลังจะเลี้ยวเข้าซอยได้พบชายวัยใกล้หกสิบคนหนึ่งเข็นรถเข็นออกมาจากซอย บนรถเข็นมีหญิงชราผมขาวโพลนนั่งอยู่บนนั้น ผมยืนดักหน้า รถเข็นหยุดล้อ ผมยกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัวสั้นๆ ว่า "ผมมามาเยี่ยมป้านาครับ"

หญิงชรามองหน้า เพิ่งพิศ ถามที่มาที่ไป ฟัง นิ่ง ตรึกตรอง ทวนความจำ “อืม พวกคลองสอง พวกบางกระเจ้า” 

สุดท้ายแกถามผมว่า “แล้วเธอรู้ไหมฉันเป็นใคร”

ผมยิ้ม ตอบสั้นๆ “รู้ครับ..ป้านา”


แกยิ้มตอบ ก่อนบอกว่า "จำเก่ง แต่ฉันจำเธอไม่ได้ เอางี้ วันหลังมาใหม่ วันนี้ฉันต้องรีบไปโรงพยาบาล"



ความต่างระหว่างอาคารสองยุค

ผมยกมือไหว้ หลีกทางให้รถเข็น ป้านาไปทางหนึ่ง ผมย้อนมาอีกทางหนึ่ง บอกตัวเองว่าเท่านี้ก็ดีแล้ว เราเป็นเด็ก กลับมาถึงถิ่นได้กราบไหว้ผู้สูงวัยที่เราเคยอาศัยกินอาศัยนอนถือว่าดีแล้ว 

จากนั้นผมเดินไปตามซอกซอย ออกจากซอยนั้นโผล่ซอยนี้ ออกจากโรงหนังไปที่วัดแค ไปกราบไหว้ดวงวิญญาณพระเอกตลอดกาล “มิตร ชัยบัญชา” แล้วลานางเลิ้งด้วยเสียงเพลงไพเราะจากนางละครชาตรีภายใต้ร่มพันธุ์พฤกษา จากลานางเลิ้งด้วยรอยยิ้มในรอยทรงจำ  เป็นอีกครั้งที่รู้สึกสบายใจ กอดบางกอกเที่ยวนี้แปลกดี มีเรื่องราวที่แปลกออกไปจากชีวิตการเดินทางเดิมๆ ครับ 


จักรยานคันเล็กบนทางเท้าริมถนนหลานหลวง


รอบชุมชนมีป้ายนิเทศน์บ่งบอกถึงเรื่องราวที่ดำเนินมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 
เช่น ป้ายที่ใช้ชื่อว่า "ใบแจ้งความ"

................................................................................................................

หมายเหตุ
- ชุมชนนางเลิ้งถือกำเนิดในช่วงทศวรรษ 2430-2440
- ตัวชุมชนมีลักษณะคล้ายๆ สี่เหลี่ยมคางหมู (แคบสอบไปทางด้านตะวันตก) ด้านเหนือติดถนนนครสวรรค์ ด้านตะวันออกติดถนนกรุงเกษม (+คลองผดุงกรุงเกษม) ด้านใต้ติดถนนหลานหลวง ด้านตะวันตกติดถนนเล็กๆ ที่ขั้นระหว่างชุมชนกับสถานีตำรวจนางเลิ้ง
- การไปเที่ยวชุนชนนางเลิ้งควรไปช่วงเช้าเพราะตลาดคึกคักกว่าช่วงบ่าย
- ร้านอาหารขนาดใหญ่ในชุมชนมี 2 ร้าน คือร้านรุ่งเรืองกับร้าน ส.รุ่งโรจน์ ทั้งสองร้านมีเมนูคล้ายกัน เช่น เป็ดย่าง เป็ดพะโล้ หมูอบ บะหมี่ปูหมูแดง กระเพาะปลาน้ำแดง เป็นต้น ถ้าไม่อยากนั่งร้านใหญ่เข้าไปในตลาดจะพบร้านอาหารจำนวนมากพอสมควร