ค่ำคืนก่อนวันออกพรรษา พระจันทร์เต็มดวง
บนถนนสายเปลี่ยวมีม่านหมอกหนาทอดตัวปกคลุมเส้นทาง แสงรำไรเหลืองนวลจากเสาไฟฟ้าส่องผ่านหมอกขาวขุ่น
เงาตะคุ่มสูงใหญ่เคลื่อนตัวเชื่องช้า เดินผ่านไปราวไม่มีเรา ไม่มีใคร
ไม่มีอะไรเลยนอกจากพวกเขา ลมพัดแรง สายหมอกหนาจางลงบ้างบางจังหวะ
ตอนนี้เงาตะคุ่มยามค่ำไม่ได้มีเพียงเงาเดียว หากมันมีมากกว่าสิบเงา
ผีตลก หน้าตาตลกๆ
แบบดั้งเดิม
เงาที่เห็นเป็นผีที่ไม่ใช่ผี
พวกเขาเป็นผีที่ต้องมนต์ประเพณีที่สืบทอดยาวนานมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ
บ้างเรียกเขาว่า ”ผีโขน” บ้างเรียกว่า “ผีตลก” ค่ำคืนก่อนออกพรรษา 1 วัน พวกเขาพากันสานไม้ไผ่เป็นโครง
เอาเศษวัสดุเหลือใช้มาปะลงบนโครง เช่น นำหวดเก่าที่นึ่งข้าวเหนียวมาทำโครงหน้า นำผ้าจีวรเก่าคร่ำมาเป็นเสื้อคลุมตัวยาว
(เย็บติดกับโครงไม้ไผ่อีกทีหนึ่ง) ฯลฯ นี่คือการทำหัวผีของบ้านท่าปลาแห่งเมืองอุตรดิตถ์
ผีตลก หน้าตาหลายรูปแบบ
ขบวนเงาที่ผ่านไปคือขบวนผีที่เสร็จสรรพจากการประดิษฐ์คิดทำ
พวกเขากำลังเดินกลับบ้านหรือไปวัด (ยังไม่แน่ใจ) บางหมู่บ้านทำหัวผีจากบ้านแล้วไปวัด
บางหมู่บ้านก็ทำกันที่วัด แต่ที่รู้ๆ พรุ่งนี้เช้าพวกเขาจะออกมาแหแหนหลอกหลอนผู้คนไปตามท้องถนน
การทำผีตลก
ตามความเชื่อ ประเพณีนี้จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่เสียชีวิตรวมถึงเปรตจากขุมนรกที่ขึ้นมาขอส่วนบุญส่วนกุศลในวันออกพรรษา
ส่วนการเล่นผีโขนหรือผีตลกแต่เดิมคนเล่นต้องนำไข่ต้มหมากพลูไปเชิญวิญญาณที่หลุมศพในป่าช้าให้ออกมาเล่นตลกด้วยกัน
หลังจากเล่นเสร็จคนเล่นต้องให้พระที่วัดรดน้ำมนต์
แต่ปัจจุบันไม่มีการเล่นกับผีในป่าช้าแล้ว
ขบวนแห่กฐินในวันออกพรรษาของชาวบ้านท่าปลา
ต้นกฐินอันงดงามตามแบบชาวบ้าน
เช้าวันใหม่
เสียงเพลงกลองยาวดังขึ้นเป็นระยะๆ ขบวนฟ้อนรำ ขบวนรถดอกไม้ และขบวนผีตลกในมาดเริงร่าออกมาจากวัด
ออกมาสู่ท้องถนน ทั้งผีทั้งคนมารวมกันเพื่อส่งเสริมให้ประเพณีผีตลกยืนยงคงอยู่คู่คนท่าปลาแห่งเมืองอุตรดิตถ์ต่อไป
เด็กๆ
กับขบวนแห่กฐินในวันออกพรรษาของชาวบ้านท่าปลา
การเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองอุตรดิตถ์มีบทเริ่มต้นที่งานแห่ผีตลก
ส่วนบทสุดท้ายปลายทางอยู่ที่บ้านน้ำลี หมู่บ้านในหุบเขา หมู่บ้านกลางป่า
หมู่บ้านนี้ไม่ได้อยู่ไกลเมือง แต่ไม่อยากเชื่อว่าหมู่บ้านที่ห่างตัวจังหวัดออกมาแค่
30 กิโลเมตรจะงดงามเช่นนี้
น้ำลีกับสายหมอกยามเช้า
บ้านน้ำลี
หมู่บ้านหนึ่งซึ่งเคยถูกน้ำป่าไหลหลากพลัดพรากบ้านเรือน...ชีวิต...คนรัก...พลัดพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
ค่ำคืนหนึ่งในปี 2549 สายน้ำสองสายคือน้ำลีน้อยกับน้ำลีใหญ่เพิ่มความสูงขึ้นเป็นลำดับ
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานเกินตั้งตัว น้ำลีพรากทุกสิ่งไป ไม่ว่าจะเป็นบ้าน
สะพานคอนกรีต เรือกสวนไร่นา ชีวิต หายลับไปกับสายคงคาที่บ่าท่วม
เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ต้องจดจำกันไปทั้งชีวิต สิ่งที่สำคัญสูงสุดของอุทกภัยร้ายแรงครั้งนี้มีอยู่
2 ข้อ ข้อแรกคือชาวบ้านต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ใครหายช่วยกันหา
เจ็บป่วยช่วยกันเยียวยารักษา ช่วยกันเท่าที่มี ช่วยเท่าที่ทำได้
ขณะเกิดเหตุมิอาจรอภาครัฐ ไม่อาจรอภาคเอกชน ประเด็นที่สองคือพวกเขาไม่เคยโกรธเคืองภาครัฐที่เข้ามาช้าเพราะเข้าใจสถานการณ์ดี
และไม่โกรธเคืองฟ้าดินหรือธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ชาวน้ำลียังเคารพน้ำเคารพป่า
อาศัยน้ำอาศัยป่าหากินไปตามวิถีทางของคนในหุบเขา
ฝายน้ำขนาดเล็กชะลอการไหลของสายน้ำลี
วันนี้สายน้ำลีสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่มีทีท่าของความบ้าคลั่ง
มีเพียงสายน้ำใสรินไหลให้เด็กๆ ในหมู่บ้านลงเล่นกันอย่างสนุกสนาน และมอบความอุดมให้ชาวบ้านได้บริโภคและใช้ในการเกษตรกรรม
เมื่อน้ำลีสงบ ผู้คนกลับมายิ้มแย้มแจ่มใส อีกทั้งยังเปิดบ้านส่วนหนึ่งเป็นโฮมสเตย์
ผายมือต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือน บ้านไม้หลังเล็กที่ถูกจัดสร้างเป็นโฮมสเตย์อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการมาเที่ยว
สภาพแวดล้อมชุมชน ผู้คน และธรรมชาติรอบด้านต่างหากที่เป็นหัวใจหลักของการเดินทาง
สายหมอกปกคลุมผืนป่าที่เขาอานม้า
บ้านน้ำลี
ฟ้ายังไม่สาง เราไต่ความสูงขึ้นไปบนเขาอานม้า
เขาที่มีผาสูงมองเห็นทัศนียภาพขุนเขากว้างไกล มองเห็นทะเลหมอกหยอกขุนเขา มองเห็นสายหมอกขาวคลอเคลียผืนป่า
ชื่นใจที่ได้เห็น ชื่นใจที่ได้สัมผัสลมหนาวแรกแห่งปี
ดอกไม้ธูปเทียนกับพานไม้แกะสลักเครื่องไหว้กฐินในวันออกพรรษาที่วัดบ้านน้ำลี
ยามสายไปรวมตัวกับชาวบ้าน ไปร่วมทอดกฐิน
ร่วมใส่บาตรข้าวเหนียวบนศาลาหลังเล็กของวัดในหมู่บ้าน ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมกันพองามจึงออกเดินทาง
เดินทางไปตามลำน้ำลี เดินทางด้วยรถยนต์ชั้นดีที่เขาเรียกกันว่า “อีหอบ” หรือรถไถนาที่เขามาต่อกระบะไม้เพิ่มเพื่อบรรทุกพืชผลทางการเกษตร
อีหอบลุยน้ำ
อีหอบส่งเสียงทึก...ทึก...ทึก..เลาะเลื้อยไปตามราวป่า
ข้ามลำห้วยหรือลำน้ำลีครั้งแล้วครั้งเล่า นับได้ 21 ครั้ง
ระหว่างทางได้พบโป่งผีเสื้อ แมลงปอ นกนานาพันธุ์ ได้พบสวนกล้วยอันเป็นผลผลิตอันดับหนึ่งของชาวบ้าน
ได้พบฟากฟ้าสีเข้มกับขุนเขาเขียวขจี ธรรมชาติรอบตัวงามซึ้งตรึงใจตั้งแต่ครึ่งทางแรกจวบจนจุดสุดท้ายยังงดงามไม่สร่างซา
ณ ปลายทาง กล้าไม้ถูกแจกจ่าย
จอบเสียมถูกแรงชายขุดคุ้ยให้เป็นหลุม ผู้หญิงวางกล้าลงหลุม ผู้ชายเกลี่ยกลบ หวังว่าการปลูกป่าครั้งนี้จะมีส่วนช่วยชาติให้ร่มเย็นไม่มากก็น้อย
น้ำตกหินลาด
จากนั้นเดินทอดน่องท่องธารหินเข้าไปจนถึงน้ำตกขนาดกลาง
น้ำตกที่ชาวบ้านเรียกว่า “น้ำตกหินลาด”
หลายคนเริงร่ากับน้ำตกใสสะอาดด้วยการแช่ลงในแอ่ง
หรือปล่อยให้สายน้ำเย็นชโลมร่างราวกำลังทำสปา อีกหลายคนผลุบๆ โผล่ๆ
อยู่กับการถ่ายภาพแมลงปอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแมลงปอเข็มน้ำตก (Damselfly) และบันทึกภาพมอสตะไคร่ที่เกาะหินผา เริงร่าได้พักใหญ่เสียงใครต่อใครเริ่มบ่นว่าหิว
น้ำตกหินลาด
เริงร่าในลำน้ำลี
ข้าวปลาอาหารที่เตรียมมามีทั้งสุกและดิบ
ที่สุกก็กินกันไปก่อน ที่ดิบก็ลงมือปรุงให้สมบูรณ์
ข้าวเหนียว หมูเค็ม ส้มตำ
ยำหน่อไม้ อาหารง่ายๆ กลางพงไพรทำไมอร่อยอย่างนี้ เสียงจากสาวหน้าใสหัวใจศรีสะเกษพึมพรำหลังอิ่มอืด
พร้อมกับโยกท้องโย้ๆ ลงไปนอนแนบเสื่อ หลับและกรนอย่างรวดเร็ว
แมลงปอบ้านบ่อพบริมน้ำตก
บ่ายแก่ๆ
รถอีหอบย้อนกลับมาบนเส้นทางสายเดิม ข้ามน้ำข้ามห้วย ขึ้นเขาลงเนิน
สนุกสนานไม่แพ้ขามา สุดท้ายจอดนิ่งสนิทที่หมู่บ้าน ปล่อยให้นักเดินทางแยกย้ายไปเก็บข้าวของในโฮมสเตย์
อีหอบบนห้วยน้ำลี
การจากลาก้าวมาถึง ความอาลัยปนเปื้อนไปกับรอยยิ้ม
มือจับมือ ใจจับใจ จำจากลาแต่ศรัทธายังคงอยู่ ชาวบ้านบอกให้เรากลับมาอีก เราสัญญา ต้องยอมรับว่าเป็นคำสัญญาที่เอาแน่ไม่ได้
การรับปากมีแรงจูงใจจากหลายสาเหตุ...รับปากรับคำเพื่อให้สบายใจ...รับปากรับคำเพราะอารมณ์ห้วงลึกอยากกลับมาจริงๆ...อนาคตข้างหน้ายังไม่รู้
แต่สิ่งที่ต้องบอกกันตรงๆ คือบ้านน้ำลีเป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์ที่น่ามาพักน่ามาท่องเที่ยว
(ควรมีเวลาอย่างน้อย 3 วัน 2 คืน จะได้เที่ยวให้คุ้มค่า
หมู่บ้านนี้มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่มากมายครับ)
ลาก่อนบ้านน้ำลี ลาก่อนผีตลก
ลาก่อนเมืองงามที่ต้องจดจำกันไปอีกเนิ่นนาน หวังว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาเยี่ยมเยือนกันอีกครั้ง
ขอบคุณชาวบ้านทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ...ขอบคุณทุกสิ่งที่มอบให้ ...ขอบคุณรอยยิ้มจากใจ...ขอบคุณป่าใหญ่ที่มอบผืนดินให้บ้านน้ำลีดำรงต่อไป
สำรับกับข้าวแบบบ้านๆ ที่บ้านผู้ใหญ่ประเสริฐ
อารินทร์
หมายเหตุ
-
ควรมีเวลาอย่างน้อย 3 วัน 2 คืน จะได้เที่ยวให้คุ้มค่า
หมู่บ้านนี้มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่มากมายครับ
-
ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- บทความชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร LIFE AND HOME
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น